วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นสุขใน “ยุคดิจิทัล”


เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แท็บเล็ต หรือ สมาร์ทโฟน เป็นสิ่งที่มักจะเห็นอยู่เป็นประจำเพื่อใช้เป็นเครื่องฆ่าเวลา จนบางครั้งเครื่องมือเหล่านี้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเราไปเสียแล้ว ยิ่งความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้น จนตามแทบไม่ทันและเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตและพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกเมื่อ ซึ่งหากพ่อแม่ ผู้ปกครองไม่ให้การดูแล และแนะนำอย่างใกล้ชิด ลูกน้อยก็มีสิทธิ์ที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในทางที่ไม่เหมาะสมได้
 “การสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกเติบโตอย่างเข้มแข็งในสังคมที่เครื่องมือทางเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้หากใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ย่อมมีผลต่อลูก ทั้งด้านอารมณ์ และการเรียนรู้” อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single Dad) บอกเล่าถึงมุมมองการดูแลลูกชายวัย 8 ขวบ ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวมากความสามารถ ยังให้คำแนะนำผู้ปกครองที่มีลูกในวัยกำลังโตว่า พ่อแม่สามารถเป็นผู้สร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ และทักษะการดำเนินชีวิตให้กับลูกได้ โดยให้ความดูแลอย่างใกล้ชิด สอนให้เขาตระหนักถึงข้อดี และสิ่งที่ไม่เหมาะสมของการใช้เทคโนโลยี รวมทั้งสื่อทางโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือแม้แต่รายการทางโทรทัศน์ที่มีอยู่อย่างหลากหลาย หากเพิกเฉยปล่อยให้ลูกอยู่กับสื่อเหล่านี้เพียงลำพังโดยขาดคำแนะนำ จะทำให้เขาจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้มากจนเกินไป และยังทำให้ปฏิสัมพันธ์ด้านการสื่อสารระหว่างคนในครอบครัว และคนรอบข้างลดลง เป็นเหตุให้การสนทนาน้อยลงไปด้วย
ไม่เพียงแต่สร้างความตระหนักให้ลูกใช้สื่อเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมเท่านั้น ผู้ปกครองเองก็ควรตระหนักถึงผลที่จะเกิดขึ้นภายหลังทั้งภาวะด้านอารมณ์ที่เด็กยังขาดการควบคุมที่ดี หรือขาดสมาธิในการเรียนรู้ ถ้าหากปล่อยให้ลูกใช้เทคโนโลยีอย่างเกินขอบเขต
“ผมแบ่งสัดส่วนในการใช้เทคโนโลยีสำหรับลูก 10% ที่เหลือให้เขาเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่ทำอยู่เป็นประจำคือ นำวัสดุต่างๆ มาประกอบเป็นของเล่น และกิจกรรมปั้นผ้าห่ม โดยให้เขาร้อยเรื่องราวด้วยตัวเอง กิจกรรมนี้จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างจินตนาการ และฝึกสมาธิไปในตัว นอกจากนั้นการสร้างสิ่งแวดล้อมเชิงสื่อสร้างสรรค์ เช่น ดูภาพยนตร์หรือ การ์ตูนที่เขาสนใจ จากอินเทอร์เน็ต โดยเราสามารถคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกได้
ตัวเราสามารถเป็นสื่อที่ดี ในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านการสนทนาและคำแนะนำเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ต้องไม่ขัดต่อความสุขของลูก เพราะเมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่ชอบก็จะเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ได้อย่างเต็มที่และสิ่งสำคัญที่ปลูกฝังลูกอยู่เสมอคือ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความมีเมตตาให้แก่คนรอบข้าง” อี้ แทนคุณ เล่าเสริม
ด้าน รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติ ดีกรีคุณแม่มากประสบการณ์ ด้านการสอนหนังสือมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทย-สหรัฐอเมริกา กว่า 29 ปี ให้ความรู้ในการสร้างความสุขด้วยตนเองว่า ความสุขเป็นพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวเอง ซึ่งร่างกายสามารถหลั่งสารแห่งความสุขที่ชื่อว่า ‘เอ็นโดรฟิน (Endorphin)’ ที่เกิดจากการกระตุ้น เช่น การออกกำลังกาย การสมมุติเรื่องราวแห่งความสุข เพียงเท่านี้ความสุขก็เกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันการใช้เทคโนโลยีในทิศทางที่ไม่เหมาะสมจนกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ ผู้ปกครองก็ควรตระหนักถึงการปลูกฝังให้ลูกรู้จักสร้างความสุขจากภายในด้วยตนเอง เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีแก่ลูกในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต มากกว่าไปให้ความสำคัญกับความสุขภายนอกที่เกิดจากสิ่งยั่วยุทางวัตถุนิยม
ขณะที่ คุณพัฒน์พงษ์ ธนวิสุทธิ์ ผู้ใช้ธรรมะในการเลี้ยงลูก อธิบายถึงการนำหลักธรรมมาช่วยเสริมการเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัลว่า การเปลี่ยนผ่านของเครื่องมือทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยธรรมชาติของเด็กย่อมมีความอยากรู้อยากลองเป็นธรรมดา ซึ่งพ่อแม่ไม่ควรปิดกั้นหรือห้าม เพราะเหมือนเป็นการปิดโอกาสการเรียนรู้ของลูก และต่อให้ห้ามเด็กย่อมหาหนทางและเข้าถึงจนได้ ดังนั้นควรให้คำแนะนำ ต่อการใช้อุปกรณ์และรู้เท่าทันเทคโนโลยีอย่างถูกวิธีด้วยทางสายกลาง โดยไม่เคร่งครัดมากจนเกินไป และไม่ละเลยจนหย่อนคล้อย
นอกจากนี้ การหาข้อตกลงร่วมกันโดยให้ลูกมีส่วนร่วม ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ลูกรู้สึกเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง เช่น หากลูกใช้เวลากับการใช้อินเทอร์เน็ตมากจนเกินความเหมาะสม ผู้ปกครองควรแบ่งเวลาอย่างชัดเจน และให้เขาเป็นผู้เลือกเวลาเอง และผู้ปกครองสามารถแนะนำวิธีใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ในการแสวงหาความรู้ และเสริมสร้างปัญญาให้แก่ลูกไปพร้อมกันได้ด้วย
“ท่ามกลางยุคสมัยที่สิ่งรอบตัวถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างความสุขที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่การสร้างความสุขที่เกิดขึ้นจากภายในด้วยการบ่มเพาะจิตใจ และตระหนักรู้อย่างเหมาะสม  เป็นการสร้างความสุขระยะยาวให้แก่ลูก และเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” คุณพัฒน์พงษ์ กล่าวทิ้งท้าย


เรื่องโดย : แพรวพรรณ สุริวงศ์ Team Content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ระวัง หวัด-ท้องร่วงในฤดูร้อน แนะผู้ป่วยหัวใจเลี่ยงอุณหภูมิสูง


นพ.ธนรักษ์ ผลิผล ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนและมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น กลุ่มโรคที่ต้องระวัง คือกลุ่มโรคทางเดินหายใจหรือหวัด ซึ่งพบมากในช่วงเปลี่ยนฤดูหากร่างกายไม่แข็งแรง กลุ่มโรคทางเดินอาหารเกิดจากอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด โดยจะเริ่มพบโรคอุจจาระร่วงเพิ่มขึ้น ป้องกันโดยกินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือ สำหรับโรคที่สำนักระบาดเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 
จะเป็น 3 กลุ่มคือ 
1.โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อน อัตราการเจ็บป่วยลดลง 
2.โรคมือเท้าปาก สถานการณ์เริ่มสงบลง  
3.โรคไข้เลือดออก ที่ปีนี้ต้องจับตาเป็นพิเศษ

นพ.ธนรักษ์กล่าวต่อว่า โรคไข้เลือดออก จะแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝน ในช่วงฤดูร้อนต้องเร่งวางแผนป้องกัน เนื่องจากพบว่าในช่วงต้นปีอัตราการป่วยสูงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับปีเดียวกันและสูงกว่าค่ามาตรฐานพยากรณ์ว่าในช่วงฤดูฝนอาจจะมีการระบาดของโรคสูง วิธีหยุดโรคไข้เลือดออก คือต้องกำจัดยุง ซึ่งทำด้วยการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและใช้สารเคมี วิธีที่ได้ผลดีที่สุด คือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในบ้านเรือนที่ภาครัฐควบคุมไม่ได้
ด้าน นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงสิ่งที่ผู้ป่วยโรคเรื้อรังควรระวังว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจ อากาศร้อนถือว่ามีผลกระทบมาก เพราะหัวใจจะทำงานหนักขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ทัน โดยเฉพาะในคนที่มีเส้นเลือดตีบตันอยู่เดิม การอยู่ในที่ร้อนมากๆ อาจมีผลกระทบทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเฉียบพลันได้ ผู้ป่วยจึงควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงอากาศร้อน หรือทำกิจกรรมในที่ที่อากาศร้อนต่อเนื่องกัน ส่วนคนทั่วไป เมื่อออกแดดควรป้องกัน เพราะจะก็ทำให้เกิดอาการฮีตสโตรก หรือหัวใจวายเฉียบพลันได้


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด 
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ประโยชน์และสรรพคุณของมะเขือพวง


ประโยชน์
ผลดิบของมะเขือพวงใช้เป็นยาแก้ไอ ขับปัสสาวะ และช่วยย่อยอาหาร การกินผลมะเขือพวงดิบเป็นอาหาร (เช่น ในเครื่องจิ้มชนิดต่าง ๆ) ก็คงมีสรรพคุณทางยาด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนรากของมะเขือพวงใช้รักษาโรคฝ่าเท้าแตก หรือโรคตาปลาในด้านการเกษตร มะเขือพวงนับเป็นมะเขือที่เหมาะกับการเกษตรแบบยั่งยืนที่ไม่ใช้สารเคมี (ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช ฯลฯ)เพราะเป็นมะเขือที่ทนทาน แข็งแรง ต้นสูงใหญ่ และอายุยืนหลายปี ไม่ต้องปลูกและดูแลรักษามากเหมือนมะเขือชนิดอื่นการเก็บผลมะเขือพวงใช้แรง งานมาก เพราะผลเล็กอยู่บนต้นขนาดใหญ่ จึงเหมาะสำหรับเกษตรกรรายย่อยที่ใช้แรงงานเป็นทุนหลัก ดังจะเห็นว่าในหมู่ชนพื้นเมืองดั้งเดิม เช่น ชาวไทยภูเขาต่าง ๆ นิยมปลูกมะเขือพวงไว้ในระบบเกษตรพื้นบ้าน เช่น วนเกษตรหรือไร่หมุนเวียนในเขตป่าภาคเหนือและภาคตะวันตก สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผักสวนครัว เอาไว้บริโภคเองในครอบครัวก็อาจปลูกมะเขือพวงเอาไว้สักต้นก็จะเก็บผลไป ประกอบอาหารได้นานหลายปี โดยไม่ต้องปลูกใหม่หรือเอาใจใส่มากเท่าพืชหรือมะเขือชนิดอื่น
ประโยชน์ทางยา

ลำต้น สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ปวด ฟกช้ำ
ใบ สรรพคุณ ห้ามเลือด แก้ฝีบวม มีหนอง
ผล สรรพคุณ ขับเสมหะ
าก รักษาแผลแตกบริเวณเท้า รากยังใช้ผสมเป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ

สรรพคุณ 

ทั้งต้น ใบ และผล รส จืด เย็นและมีพิษเล็กน้อย ทำให้เลือดหมุนเวียนดี แก้ปวด ฟกช้ำ ตรากตรำทำงานหนัก กล้ามเนื้อบริเวณเอวฟกช้ำไอเป็นเลือด ปวดกระเพาะ ฝีบวมมีหนองและอาการบวมอักเสบ รากใช้พอกเท้าแตกเป็นร่องเจ็บ
รสและประโยชน์ต่อสุขภาพ
รสขื่น แก้ไอ ขับเสมหะ มะเขือพวง 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 46 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย 6.1 กรัม แคลเซียม 158มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม เหล็ก 7.1 มิลลิกรัม วิตามินเอ 554 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.17 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.09 มิลลิกรัมไนอาซิน 2.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 4 มิลลิกรัม
การปรุงอาหาร
ผลอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสด หรือลวกแกล้มกับน้ำพริก ผลอ่อนใช้ใส่อาหารหลายชนิด เช่น แกงจืด น้ำพริกกะปิ แกงเขียวหวาน เป็นต้น
ที่มา : http://www.foodhealth.in.th/2015/02/blog-post_65.html

ระวัง 5 โรค ช่วงฤดูร้อน


นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย จึงต้องระมัดระวังโรคระบาด 5 โรค ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อยหรือไข้ไทฟอยด์ นอกจากนี้ ยังมีโรคพิษสุนัขบ้า โรคลมแดด และการป้องกันเด็กจมน้ำ ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2558 มีรายงานผู้ป่วยทั้ง 5 โรคแล้ว รวม 197,504 ราย เสียชีวิต 2 ราย ที่พบมากอันดับ 1 คือ โรคอุจจาระร่วง 175,270 ราย เสียชีวิต 2 ราย
ดังนั้น กรมฯ ได้จัดทำประกาศแจ้งเตือนให้ระวังโรคจากภัยสุขภาพ ส่งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทุกจังหวัด สำนักอนามัย กทม. และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคทั้ง 12 แห่ง เพื่อเตรียมพร้อมดูแลประชาชนในพื้นที่ประสบกับภาวะแล้ง โดยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ของโรคในพื้นที่ ควบคุมโรคกรณีระบาด และสื่อสารความเสี่ยงประชาสัมพันธ์ เน้นกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
นพ.โสภณ กล่าวว่า การป้องกันตนเอง ขอให้ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ส่วนโรคที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ โรคพิษสุนัขบ้า โรคลมแดด และการป้องกันเด็กจมน้ำ โดยโรคพิษสุนัขบ้าในปี 2557 มีผู้เสียชีวิต 6 ราย มีผู้เสียชีวิตทุกปี พาหะหลักคือสุนัข และแมว ติดโรคจากการกัด ข่วน หรือเลียผิวหนังคนมีแผล โรคนี้ไม่มียารักษา แต่ป้องกันได้ด้วยการนำสุนัขทุกตัวไปรับการฉีดวัคซีน และลดความเสี่ยงจากการถูกสุนัขกัดคือ อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ อย่ายุ่ง ส่วนโรคลมแดด เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกิน ทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่พบเบื้องต้น ได้แก่ อ่อนเพลีย หน้ามืด เป็นลม หากรุนแรงอาจมีอาการตัวร้อนจัด คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้
"บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดโรคลมแดด ได้แก่ ทหารที่เข้ารับการฝึกโดยไม่เตรียมร่างกายให้พร้อมต่อสภาพอากาศร้อน นักกีฬาสมัครเล่น ผู้ที่ทำงานในอากาศร้อนชื้น รวมถึงผู้สูงอายุ เด็ก คนอดนอน คนดื่มสุราจัด และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ส่วนวิธีป้องกัน ควรดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้าน หากอยู่ในสภาพอากาศร้อนดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้ทำงานในร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว สวมเสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา และระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด หลีกเลี่ยงการกินยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ควรให้การดูแลเด็ก และผู้สูงอายุเป็นพิเศษ" อธิบดี คร. กล่าวและว่า เรื่องการป้องกันเด็กจมน้ำ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะตรงกับช่วงปิดเทอม โดยพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี การจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 มาตรการที่ต้องยึดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน คือ“ตะโกน โยน ยื่น”


ที่มา : เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ 
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

L-Carnitine "แอล-คาร์นิทีน" คืออะไรจำเป็นไหมกลับการลดน้ำหนัก


สาวๆ ทั้งหลายคงอดไม่ได้ที่ต้องมีหุ่นที่อ้วน และมีไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้นในร่างกายทำให้ใส่เสื้อผ้าแล้วดูไม่ค่อยสวยงามในความเป็นจริงแล้วในปัจจุบันนี้ คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่า ส่วนสำคัญในการทำงาน หรือการเข้าสังคมไทยในปัจจุบันนั้น เรื่องรูปร่างหน้าตา คงมาเป็นอันดับต้นๆ ของการพิจารณากันเลยทีเดียว เลยมีสาวๆ หลายๆ ท่านพยายามดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกาย การเลือกทานอาหารเสริม อย่างวิตามินต่างๆ หรือ L Carnitine เพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนิเอง แล้วเจ้าตัว L Carnitine ละที่ผู้ผลิตอาหารเสริมหลายๆ ยี่ห้อได้โฆษณาไว้ว่าสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้จริงลองมาดูกันนะครับว่า ที่เขาบอกกันมานั้นจริงไหม
L-Carnitine คือ กรดอะมิโน แอล-ไลซีน (L-Lysine)  ประเภทหนึ่ง ทึ่ร่างกายจะได้รับหลังมีการสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ตามธรรมชาติ โดยใช้ วิตามิน B5, B6 , Vitamin C ,เหล็ก และกรดอะมิโน แอล-เมไธโอนีน (L-Methionine) ส่วนแหล่งอาหารที่มี Carnitine  ก็จะเป็นเนื้อสัตว์ เนื้อแดง ของหมู เนื้อวัวประเภทต่างๆ  แล้วทำไมเราต้องรับประทาน L Carnitine ที่เป็นอาหารเสริมเพิ่มละ
        มีการศึกษาและวิจัยมาว่า L Carnitine มีส่วนในการช่วยเผาผลาญไขมันหรือลดน้ำหนักได้บ้างไม่มากก็น้อยตามแต่ละคนอาจจะช่วยได้น้อยมาก ทำให้ L Carnitine ไม่มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักเลย แต่จริงๆ แล้วอาหารเสริมจำพวก L Carnitine จะต้องทานคู่กับการออกกำลังกายเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด ถ้าเราทาน L Carnitine แล้วกินแล้วก็นอนก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย  การใช้ อาหารเสริมอย่าง L Carnitine ให้ได้เพื่อสลายไขมันและประโยชน์มากที่สุดควร เมื่อออกกำลังกายชนิดเต้นแอโรบิคเป็นเวลา 30 นาทีหรือถ้าต้องการให้ได้ผลมากกว่านี้ควรออกกำลังกายเกิน 60 นาที กรดไขมันจึงถูกนำมาใช้ได้สูงสุดถึง 70% ซึ่งจะทำให้ไขมันที่สะสมในร่างกายถูกนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่
        มีอีกหนึ่งงานวิจัย ในการลดน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกิน L Carnitine นั้นยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักด้วยสารจากธรรมชาติเนื่องจากมีการทดลองโดยมีการนำไขมันของคนอ้วนมาวิเคราะห์พบว่าเนื้อเยื่อนั้นไม่มี  Carnitine อยู่เลยทำให้ทีมวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่ากฏของการลำเลียงไขมันอาจถูกขัดขวางด้วยวิธีใดก็ตามทำให้ไขมันเผาผลาญไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่ถ้ามีสาร Carnitine เข้าไปจะส่งผลให้การเผาผลาญไขมันมากขึ้น  ดังนั้น L carnitine ซึ่งแม้ว่าจะพบมากในสัตว์เนื้อแดง  แต่ปริมาณรับประทานใน 1 วัน จะให้กรดอะมิโนดังกล่าวเพียง 50-200 มิลลิกรัม  ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงไขมันสะสมไปเป็นพลังงาน ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าหากคุณต้องการลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ L-carnitine ขนาด 500-1,000 มิลลิกรัมใน 1 วัน  จึงจะให้ผลเป็นที่น่าพอใจสำหรับผู้ที่จะลดน้ำหนัก
        จากงานวิจัยต่างๆ นั้นดูแล้วยังขัดแย้งกันอยู่สำหรับ L Carnitine จริงๆแล้วอยู่ที่ตัวผู้บริโภคละที่ต้องใช้วิจารณญาณกันอีกทีเนื่องจากว่าอาหารเสริมมีราคาค่อนข้างแพง เราก็ควรเลือกบริโภคที่น่าเชื่อถือได้ มี อ.ย. และ ได้ประโยชน์กับเรา จริงๆ แล้วก็อยากฝากไว้ด้วยนะครับ ว่าอย่าเห็นแต่โฆษณาที่เวอร์เกินจริงกับของราคาถูกนะครับ เพราะอาจจะทำให้เกิดโทษได้ขอบคุณครับ
ขอบคุณที่มาของบทความ
http://www.gnc.co.th/product-detail/GNC-L-Carnitine-500

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

ขี้กาเทศ สรรพคุณของขี้กาเทศ (Colocynth)


ขี้กาเทศ

ขี้กาเทศ ชื่อสามัญ Bitter apple, Colocynth, Colocynth pilp.[1]
ขี้กาเทศ ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrullus colocynthis (L.) Schrader จัดอยู่ในวงศ์ CUCURBITACEAE[1]

ลักษณะของขี้กาเทศ

  • ต้นขี้กาเทศ จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นมีลักษณะเลื้อยพัน[1]ต้นขี้กาเทศ
  • ใบขี้กาเทศ แผ่นใบเป็นสีเขียว ขอบใบหยิก
    ใบขี้กาเทศ
  • ดอกขี้กาเทศ ดอกเป็นสีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน
    ดอกขี้กาเทศ
  • ผลขี้กาเทศ ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมเรียบ เมื่ออ่อนเป็นสีเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุก ผลจะมีขนาดเท่ากับผลส้มขนาดเล็ก ภายในมีเนื้อนิ่ม และมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปไข่แบนสีขาวหรือสีออกน้ำตาล[1]ผลขี้กาเทศรูปขี้กาเทศ
    เมล็ดขี้กาเทศ

สรรพคุณของขี้กาเทศ

  • เนื้อผลนำมาปั่นเป็นน้ำดื่มเป็นยาลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดความดันโลหิตสูง (เนื้อผล)[1]
  • เนื้อผลมีสรรพคุณเป็นยาระบาย (เนื้อผล)[1]


ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของขี้กาเทศ

  • สารสำคัญที่พบในสมุนไพรขี้กาเทศ ได้แก่ alanine, caffeic acid, citrullonol, coumaric acid, cacurbitacin, clateridine, fructose, tetradecenoic acid[1]
  • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่พบ ได้แก่ ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ลดไข้ ขับปัสสาวะ แก้ปวด ต้านเชื้อรา[1]
  • จากการทดสอบความเป็นพิษ พบว่าจะเป็นพิษเมื่อใช้สารสกัดผลด้วยแอลกอฮอล์ในขนาด 70 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และสารสกัดจากผลด้วย ethyl acetate ในขนาด 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือสารสกัดจากผลด้วยคลอโรฟอร์มขนาด 60 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[1]
  • จากการทดลองแบบ Randomized, double-blind, placebo-controlled clinical trial ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 50 คน แบ่งเป็นชาย 12 คน และหญิงอีก 38 คน ที่มีอายุ 40-65 ปี โดยทำการแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 25 คน ให้รับประทานแคปซูลผลขี้กาเทศขนาด 100 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน หรือรับประทานยาหลอกร่วมกับการรักษาปกติ เป็นระยะเวลา 2 เดือน พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานแคปซูลขี้กาเทศมีปริมาณ HbA1C และระดับน้ำตาลลดลง ตลอดการทดลองไม่พบอาการข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร จึงเห็นได้ว่าผลขี้กาเทศสามารถช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้โดยไม่ก่ออาการข้างเคียง แต่การรับประทานผลขี้กาเทศนี้ไม่มีผลลดระดับไขมัน ทั้งระดับคอเรสเตอรอลรวม, Low-density lipoprotein, High-density lipoprotein, ไตรกลีเซอไรด์ ระดับเอนไซม์ asparate transaminase, alanine transaminase, alkaline phosphatase ปริมาณยูเรียและ creatinine ในเลือด[2]
  • จากการศึกษาฤทธิ์ลดไขมันและน้ำตาลในเลือดของสารสกัดเมทานอลจากผลขี้กาเทศในหนูแรท ผลการทดลองพบว่า การป้อนสารสกัดเมานอลจากผลขี้กาเทศในขนาด 200 และ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมมีผลลดระดับคอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, low-density lipoprotein และ very low-density lipoprotein และเพิ่ม high-density lipoprotein ในเลือดของหนูแรท ทั้งในภาวะที่มีไขมันในเลือดสูงและในภาวะที่เป็นโรคเบาหวาน เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีภาวะไขมันในเลือดสูงหรือเป็นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว และการป้อนสารสกัดเมทานอลจากผลขี้กาเทศทั้งสองขนาดมีผลเพิ่มระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระได้แก่ superoxide dismutase, glutathaione และ catalase และลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาการเกิดออกซิเดชันของไขมัน ทั้งในภาวะที่มีไขมันในเลือดสูงและในภาวะเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีผลลดระดับของเอนไซม์ aspartate aminotransferase และ alanine aminotransferase ในตับ และลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีนัยสำคัญในหนูที่มีภาวะเป็นโรคเบาหวาน ผลจากการทดลองนี้จึงแสดงให้เห็นว่า สารสกัดเมทานอลจากผลขี้กาเทศมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และสามารถลดไขมันและระดับน้ำตาลในเลือดได้[3]
  • เมื่อมี ค.ศ.2007 ที่ประเทศจอร์แดนได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากผลขี้กาเทศ โดยทำการทดลองในหนู 20 ตัว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มควบคุม ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มที่ให้สารสกัดขี้กาเทศ ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อน้ำหนักตัว เป็นเวลา 7 วัน ผลการทดลองพบว่า ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของกลุ่มควบคุม = 180 ± 9.69 mg./dl. ส่วนอีกกลุ่มมีระดับคอเลสเตอรอล = 135 ± 6.82 mg./dl. (P < 0.01) ค่า LDL-C พบ P < 0.01[1]
References
  1. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “ขี้กาเทศ”  หน้า 113-71.
  2. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “การรักษาโรคเบาหวานด้วยผลขี้กาเทศ (Citrullus colocynthis  (L.) Schrad)”.  เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/.  [23 ก.พ. 2015].
  3. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ฤทธิ์ลดไขมันและน้ำตาลในเลือดของผลขี้กาเทศ (Citrullus colocynthis)”.  เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/.  [23 ก.พ. 2015].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Pia Öberg, Sergey Yeliseev, naturgucker.de, Russell Cumming, Mike Stoy)
เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์.คอม

12 วิธีแก้ขาหนีบดำ ! ขาหนีบดําทําไงดี ??


ขาหนีบดำ

ปัญหาขาหนีบดำหรือง่ามขาดำแม้ว่าจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ ในที่ลับก็ตาม แต่ใครเลยจะรู้ว่าหากความดำมาเยือนขาหนีบแล้ว มันก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้มากเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับสาวสุดเปรี้ยวที่ชอบนุ่งบิกินี่ตัวจิ๋วหรือใส่ชุดว่ายน้ำก็มักจะเกิดอาการหวั่นๆ ทำให้บางคนถึงกับไม่กล้าจะสวมใส่มันอีกเลยทีเดียว วันนี้เรามาดูวิธีแก้ปัญหาขาหนีบดำและคืนความขาวใสให้กับขาหนีบกันดีกว่า ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

วิธีแก้ขาหนีบดํา

  1. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ขาหนีบดำ แน่นอนว่าถ้าไม่รู้ป้องกัน รักษาไปยังไงมันก็ไม่หาย โดยปกติแล้วเม็ดสีผิวบริเวณขาหนีบจะเกิดการเสียดสีได้ง่ายอยู่แล้ว จนทำให้เกิดรอยดำเป็นปื้นๆ มากกว่าบริเวณอื่น โดยเฉพาะกับคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ก็ควรจะเริ่มหันมาลดน้ำหนักอย่างจริงจัง โดยให้เน้นท่าออกกำลังกายกระชับต้นขาเพื่อช่วยลดการเสียดสี หรือใครที่ชอบสวมใส่กางเกงในหรือกางเกงยีนส์แบบรัดๆ ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มการเสียดสีเข้าไปใหญ่ เพราะผ้าค่อนข้างหนา ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็เป็นดี เพื่อป้องกันไม่ให้ขาหนีบดำถาวรและแก้ยากมากยิ่งขึ้น
  2. ไม่ควรใส่กางเกงในตอนนอน แต่หากจำเป็นต้องใส่ก็ให้เลือกใส่กางเกงในที่ไม่มีตะเข็ม ใส่แล้วไม่รัดติ้ว และไม่ใส่จนรัดเกินไป
  3. อะไรที่เลี่ยงได้เราก็ควรเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ เราอาจจะต้องหาอะไรมารองกันกระแทกบริเวณที่เสียดสีนั้น เช่น เวลานั่งควรจะเอาเบาะนุ่มๆ มารองก้นเพื่อลดการสัมผัส
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โดยวิตามินอีสามารถพบได้มากในอาหารจำพวก นม ถั่ว ไข่ เนื้อสัตว์ ปลา ผัก ฯลฯ ส่วนวิตามินซีจะพบได้มากในผักและผลไม้ วิตามินทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและลดการอักเสบได้
  5. ขัดผิวซะบ้าง ให้ใช้ฟองน้ำหรือใยบวมขัดเบาๆ บริเวณขาหนีบในขณะอาบน้ำ อาจขัดไปพร้อมๆ กับตอนถูสบู่เลยก็ได้ โดยให้ทำอาทิตย์ละครั้งละสองครั้งพอ รอยดำบนขาหนีบของคุณจะค่อยๆ จางลงอย่างแน่นอน แต่ขอย้ำนะครับว่าควรขัดถูแบบเบาๆ เพราะถ้ายิ่งลงแรงขัดมากเท่าไหร่ก็อาจทำให้เกิดการอักเสบบวมแดงมากขึ้นเท่านั้น พอแดงมากๆ ความดำจากการเสียดสีก็จะมาเยือน และเยอะขึ้นกว่าเดิมด้วย
  6. สครับผิวสูตรธรรมชาติ การขัดบำรุงผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วบริเวณขาหนีบออกไป จึงช่วยคืนความขาวกระจ่างใสขึ้นมาได้ โดยคุณอาจเน้นเป็นสครับสูตรธรรมชาติ ดังต่อไปนี้ (ให้ทำเพียงอาทิตย์ละประมาณ 2-3 ครั้ง)
    • สูตรมะขามเปียกผสมน้ำผึ้ง นำมาทาถูทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก
    • สูตรมะนาว ใช้เปลือกมะนาวนำมาทาถูทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออก
    • สูตรขมิ้นผง มะขามเปียก และนมสด นำมาผสมพอให้ข้นแล้วนำไปขัดวนบริเวณขาหนีบทั้งสองข้างเบาๆ
    • สูตรน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวครึ่งลูก และน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมให้เข้ากันใช้สครับวนเป็นวงกลมจนน้ำตาลละลายทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก
    • สูตรสครับน้ำผึ้งเปลือกส้ม เพียงแค่คุณนำมีดมากรัดเปลือกส้มเบาๆ ให้มีรอยเปิด แล้วนำมาขยี้และบีบกับน้ำผึ้ง ใช้ขัดผิวเบาๆ
    • สูตรน้ำมันอัลมอนด์ 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, นมจืด 2/3 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาวครึ่งลูก และเมล็ดอัลมอนด์บด นำมาผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาทาบริเวณขาหนีบทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นก็ค่อยๆ สครับออกกับน้ำสะอาด
    • สูตรโยเกิร์ตผสมกับเบคกิ้งโซดา แล้วนำมาขัดเบาๆ (สูตรนี้หลายคนบอกว่าได้ผลนะ)
    • สูตรสารส้มผสมกับมะขามเปียก
    • สูตรผงวิเศษนิยมขัดกับมะนาว
  7. บำรุงด้วยน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันคาโมมายล์ หรือน้ำมันดอกลาเวนเดอร์ ก็สามารถนำมาใช้ทาเพื่อช่วยลดเลือนรอยด่างดำ ลดปัญหาผิวหยาบกร้าน และทำให้ผิวเนียนนุ่มได้ เพียงแค่นำมาทาบริเวณขาหนีบเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยทำให้ขาหนีบของคุณขาวขึ้นได้ แถมยังเป็นการบำรุงผิวไปในตัวอีกด้วย ส่วนระยะเวลาอาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและสีผิวด้วย
  8. ทาครีมลดรอยดำและเพิ่มความชุ่มชื้น อีกวิธีรักษาขาหนีบดํา คุณอาจเลือกใช้ครีมบำรุงผิวเฉพาะจุดสำหรับทาขาหนีบก็ได้ อย่างครีมทาขาหนีบดํา หรืออาจจะเป็นครีมที่มีส่วนผสมจากไวท์เทนนิ่งและวิตามินอี โดยให้นำมาทาเป็นประจำทุกครั้งหลังอาบน้ำ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความหมองคล้ำบริเวณขาหนีบได้ ส่วนยี่ห้อที่แนะนำจากเท่าที่อ่านๆ มาก็จะมี ครีมหน้าขาวของหมอจุฬา ครีมกวนอิม สมูทอี
  9. เลเซอร์ลดรอยดำ ในกรณีที่มีรอยดำคล้ำมากอาจต้องรักษาโดยใช้เลเซอร์เพื่อลบรอยดำ เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสี ซึ่งการยิงเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างๆ เช่น สีผิว เพราะคนผิวคล้ำจะเห็นผลได้ไม่ดีเท่าคนผิวขาว หรือใช้พวกไอพีแอล (IPL) เหมือนตอนเราใช้แก้ปัญหารอยดำของสิวบนใบหน้า หรือทำไอออนโตโฟเรซิส (lontophoresis) ซึ่เหล่านี้ก็สามารถนำมาใช้กับผิวบริเวณก้นและขาหนีบได้เช่นกัน
  10. รักษาด้วยยากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สำหรับใครที่รักษาด้วยยาทากรณีขัดก็แล้วบำรุงก็แล้วแต่ยังไม่เกิดผล ก็ต้องมาดูสภาพผิวกันก่อนว่า ดำหนามากไหม? และหมอจะให้ยาไปทาตามสภาพ ถ้าดำอย่างเดียวก็อาจจะให้ยาที่ลดการทำงานของเม็ดสี หรือถ้ามันมีอาการหนาตัวก็อาจจะใช้ยาที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวเล็กน้อย แต่ก็ต้องระวังกันหน่อยนะ เพราะผิวบริเวณนี้จะบางมาก หากจะไปซื้อยามาทาเองคุณควรถามเภสัชให้ดีก่อน
  11. ขาหนีบดำระหว่างตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ผิวของคุณแม่บางรายเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ มีรอยดำคล้ำหรือมีสีเข้มขึ้นตามต้นคอ ข้อหับ รักแร้ ขาหนีบ และหัวนม ซึ่งรอยดำคล้ำต่างๆ นั้น ปกติแล้วจะหายไปเองภายหลังการคลอดบุตร ดังนั้นคุณแม่จึงไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องไปทำการขัดถูหรือซื้อยามาทาแต่อย่างใด เพราะยาบางตัวอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น คุณแม่ควรอดทนรอ และเมื่อเวลาผ่านไปความดำคล้ำก็ค่อยๆ จางลง จนกลับมาสู่ปกติเอง
  12. โรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) สำหรับผู้ที่ขาหนีบดำ โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากขี้ไคล ขัดเท่าไหร่ก็ขัดไม่ออก คุณอาจเป็นโรคผิวหนังช้างก็ได้ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่มีลักษณะผิวคล้ำ หนา และมีลักษณะเหมือนกำมะหยี่ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ โดยมักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีอินซูลินมากจนทำให้มีการกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังมีการเจริญมาก หากคุณเป็นโรคนี้ก็ควรจะปรับอาหารโดยการลดน้ำตาลและแป้งและหาทางลดน้ำหนักให้ได้ แล้วภาวะ insulin resistance หมดไป รอยดำก็จะค่อยๆ จางหายไปเองโดยไม่ต้องไปขัดผิวเลย
  13. เมื่อรู้ปัญหาและวิธีแก้กันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปทำตามกันดูนะครับ รับรองว่าหากทำเป็นประจำรับรองได้เลยว่าความขาวใสและความมั่นใจจะกลับคืนมาอีกครั้งแน่นอน
    เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์.คอม 

มาร์กเตรียมสร้าง “Facebook City” อาณาจักร Facebook รองรับพนักงานกว่าหมื่นคน!

สร้างความฮือฮาให้คนทั้งโลกอีกครั้ง เมื่อ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้บริหารเฟสบุ๊ก ออกมาประกาศไอเดียสร้างเมือง “Facebook City” บนเนื้อที่กว่า 200 เอเคอร์ หรือคิดเป็นพื้นที่กว่า 809,370 ตารางเมตร ที่จะมีทั้งออฟฟิศ ศูนย์การค้า โรงแรมหรู และบ้านสำหรับรองรับพนักงานของเฟสบุ๊กกว่า 10,000 คน
nc-facebook-data-center-collage...
ซึ่งแผนการสุดอลังการงานสร้างนี้ มีชื่อเรียกย่อๆ ว่า Zee-town ตามเจ้าของนั่นเอง จะมีถนนภายในเมือง มีวิลล่าหรูหราสำหรับคนทำงานระดับผู้บริหาร และที่พักอย่างดีสำหรับพนักงานทั่วไป และหอพักสำหรับเด็กฝึกงานอีกด้วย
ใใใ


25F2BBD100000578-2963782-image-a-15_1424608663953ใใ
ซึ่งตอนนี้ เฟสบุ๊กทุ่มงบไปแล้วกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 13,200 ล้านบาท ในการสร้าง industrial park ซึ่งคล้ายๆ กับนิคมอุตสาหกรรมบ้านเรา คือเป็นแหล่งของเฟสบุ๊กเลย มีเนื้อที่ 55 เอเคอร์ ใกล้ๆ กับ สำนักงานใหญ่ของ Facebook ที่ 1 Hacker Way ใกล้ๆ Menlo Park ซานฟรานซิสโก ซึ่งตอนนี้ มาร์ก ได้ว่าจ้างสถาปนิก Frank Gehry วัย 85 ปี ที่เป็นคนออกแบบGuggenheim Museum ใน Bilbao ประเทศสเปน มาเป็นคนออกแบบเมืองแห่งนี้
25F2BA2800000578-2963782-image-a-17_1424608668661
โดย John Tenanes หนึ่งในผู้ดูแลโครงการนี้บอกว่า เมืองนี้จะมีถนนหนทาง มีส่วนที่เป็นที่สาธารณะเหมือนเมืองทั่วไป ที่คนภายนอกสามารถเข้ามาได้ ซึ่ง Mr.Gehry ถูกขอให้สร้างเมืองนี้อยู่ภายในงบราว 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และออกแบบให้เข้ากับธรรมชาติอีกด้วย ออฟฟิศเกือบทั้งหมดจะมีต้นโอ๊คสูง 40 ฟุตปกคลุมที่ดาดฟ้า เพื่อให้ดูมีสีเขียว เข้ากับธรรมชาติ ร่มเย็นอีกด้วย
25F2BB6100000578-2963782-image-m-20_1424608713935
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่า สุดท้ายแล้ว การเดินทางไปทำงานที่นี่ของพนักงาน ที่ไม่ย้ายเข้ามาอยู่ ก็ต้องใช้รถเป็นส่วนมาก จึงเป็นการขัดแย้งอุดมการณ์ที่ต้องการรักษ์โลกของเฟสบุ๊กแต่แรกเริ่มโครงการ
นอกจากนี้ สำหรับตัวของมาร์ก เขาได้มีบ้านอยู่ใกล้ๆ เมืองแห่งนี้ราคา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 330 ล้านบาท ซึ่งห่างออกจากที่แห่งนี้เพียง 20 นาที จึงคาดการณ์ว่าเขาเองก็น่าที่จะไม่ย้ายเข้ามา เมื่อเมืองนี้สร้างเสร็จ เช่นกัน
nc-facebook-data-center-exterior2Facebook Forest City Data Center (ปัจจุบัน)
facebookprinevillewebsite2

rwc-facebookprineville3Facebook Prineville Data Center (ปัจจุบัน)
ใใ
ทั้งนี้ จากที่ผ่านมาพบว่า มาร์ก ซึ่งตอนนี้เป็นคนที่รวยที่สุดอันดับที่ 15 ของโลกนั้น ไม่ใช่คนแรกที่พยายามสร้างเมืองลักษณะนี้มาก่อน
ครอบครัว Cadbury สร้าง Bournville ในศตวรรษที่ 19 และตั้งชื่อช็อกโกแลตตามพวกเขาหลังจากที่ต้องย้ายแหล่งผลิตในเมืองเบอร์มิงแฮม
Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ก็มีแผนการที่จะย้ายบริษัทของเขาเช่นกัน แต่ที่แปลกว่าคือแผนการของเขาจะสร้างเป็น “จรวด” เพื่อออกไปสร้างอาณานิคมนอกโลกนั่นเอง

อัลตราซาวด์บ่อยๆ อันตรายไหม?


แม่มือใหม่หลายคนที่กังวล หรืออาจจะเห่อลูก เข้ารับการอัลตราซาวด์บ่อยทุกเดือนๆ ซึ่งการอัลตราซาวด์บ่อยๆ นั้นคุณแม่หลายคนเริ่มกังวลใจว่าอัลตราซาวด์บ่อยๆ จะอันตรายไหม มีอันตรายกับลูกน้อยในครรภ์หรือเปล่า



อัลตราซาวด์มีอันตรายหรือไม่ 

อัลตร้าซาวด์ ที่ใช้ตรวจคุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีความเข้มข้นของเสียงผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อของร่างกายในปริมาณที่น้อยมาก ในต่างประเทศมีการศึกษาของสถาบันทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอัลตร้าซาวด์แห่งสหรัฐอเมริกา (American Institute of Ultrasound in Medicine) และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งอังกฤษ (Royal College of Obstetricians and Gynaecologists) พบว่า ลูกในท้องที่คุณแม่ได้รับการตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ไม่ได้มีความพิการหรือการเจริญเติบโตช้ากว่าลูกในท้องของคุณแม่ที่ไม่ได้รับการตรวจแต่อย่างใด เมื่อทำการตรวจติดตามเด็กที่คลอดไปนานแล้ว ก็ไม่พบว่ามีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทั้งร่างกาย จิตใจ และสมอง”

อัลตราซาวด์,ultrasound,4D,ซาวด์,เด็กในท้อง,ดูความผิดปกติ



แล้วอัลตราซาวด์ "บ่อยๆ" มีอันตรายไหม?
การอัลตราซาวด์นั้นไม่มีอันตรายกับเด็กในท้องหรือแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่อยากอัลตราซาวด์บ่อยแค่ไหน หรือทุกครั้งที่พบคุณหมอก็ได้ แต่ทั้งนี้การอัลตราซาวด์บ่อยๆ อาจจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นได้ แต่ถ้าอยากดูพัฒนาการลูกน้อยๆ บ่อยๆ ก็สามารถทำได้ค่ะ 


จาก : เรียบเรียง รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์
Tag : อัลตราซาวด์ ultrasound