วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วิธีทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดตามวิถีเกษตรอินทรีย์

ปัจจุบัน ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยให้ผลผลิตดีขึ้น และไม่เป็นอันตรายเหมือนกับปุ๋ยเคมี อีกทั้งยังสามารถทำได้เองอีกต่างหาก ปุ๋ยชีวภาพสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ

  1. ปุ๋ยน้ำที่เกิดจากขยะเปียกต่างๆ เช่น เศษอาหาร เศษผัก เศษผลไม้ พืชสมุนไพร
  2. ปุ๋ยที่เกิดจากการผลิตจากสัตว์ เช่นปลา หรือหอยเชอรี่
สำหรับวิธีการทำปุ๋ยชีวภาพนั้น สามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. ปุ๋ยที่เกิดจากพืชหรือขยะเปียก ขั้นแรกให้เราหาวัสดุต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ดังนี้
  • เศษวัสดุเหลือใช้ เช่นเศษพืช เศษผัก/ผลไม้ หรือเศษอาหาร จำนวนประมาณครึ่งถัง
  • กากน้ำตาลประมาณ 1 ลิตร
  • น้ำที่เกิดจากการหมักจุลินทรีย์จำนวน 1 ลิตร
  • น้ำสะอาดประมาณครึ่งถัง
เมื่ออุปกรณ์ต่างๆ ครบ ให้เราเริ่มนำ น้ำสะอาดเติมลงในถัง และเติมส่วนผสมอื่นๆ เช่นหัวเชื้อจุลินทรีย์หรือน้ำหมักจุลินทรีย์ พร้อมกับกากน้ำตาลลงไปผสมให้เข้ากัน ข้อแนะนำก็คือไม่ควรเติมกากน้ำตาลมากจนเกินไปเพราะจะส่งผลให้เกิดกลิ่นที่รุนแรงตามมาได้ จากนั้นเมื่อทุกอย่างเข้ากันดีแล้วให้เทส่วนผสมที่ออกมาลงในถุงปุ๋ยแล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่มประมาณ 7 วัน ก็จะได้ปุ๋ยชีวิภาพสูตรพืชตามที่ต้องการ
2. ปุ๋ยที่เกิดจากสัตว์ ขั้นแรกเราต้องเตรียมวัสดุดังต่อไปนี้
  • ปลา หรือหอยเชอรี่ที่ต้องการนำมาทำปุ๋ยประมาณ ครึ่งถัง
  • กากน้ำตาลประมาณ 1 ลิตร
  • น้ำที่เกิดจากการหมักจุลินทรีย์สำหรับเป็นหัวเชื้อประมาณ 1 ลิตร
  • น้ำสะอาดประมาณครึ่งถัง
  • ถังพลาสติกเปล่าๆ ที่มีฝาปิดมิดชิดพร้อมไม้สำหรับคน
เมื่ออุปกรณ์ต่างๆ ครบแล้วให้เราเริ่มลงมือได้โดยการนำ ปลา หอยเชอรี่ ลงในถัง แล้วเทส่วนกากน้ำตาล น้ำหมักหัวเชื้อ น้ำสะอาดลงไปในถังเปล่าที่เตรียมไว้ จากนั้นให้ใช้ไม้คนวัสดุให้เข้ากัน แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 1-2 เดือนโดยระหว่างการหมักนั้น ให้คนส่วนผสมต่างๆ ในถังอย่างสม่ำเสมอเพื่อเร่งหรือกระตุ้นให้เกิดการย่อยสลายได้ดีขึ้น เมื่อผ่านไปประมาณ 2 เดือนก็สามารถนำปุ๋ยหมักชีวิภาพขึ้นมาใช้งานได้

สำหรับประโยชน์คร่าวๆ ของปุ๋ยหมักทั้งสองสูตรนั้น สามารถช่วยในการกำจัดน้ำเน่าเสีย (อย่างที่เคยเห็นใช้กันในระหว่างเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่) ใช้ในการบำบัดกลิ่นเหม็นต่างๆ รวมไปถึงใช้ในการทำความสะอาดคอกสัตว์หรือกิจการปศุสัตว์ นอกจากนั้นในภาคการเกษตรยังนำไปใช้งานเพื่อเร่งผลผลิตแทนปุ๋ยเคมีได้อีกด้วย นับว่ามีประโยชน์รอบด้านจริงครับ ที่สำคัญยังเป็นปุ๋ยที่ผลิตขึ้นมาได้เอง โดยใช้วัสดุราคาถูกที่หาได้ทั่วไปอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

5 สิ่งจำเป็นในการจัดเป้เดินป่า จัดของลงกระเป๋าง่ายๆตามสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์

ลมหนาวใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนคงเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อการท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ โดยเฉพาะในป่าเขาเพื่อสัมผัสกับวิวทิวทัศน์อันสวยงาม สายลม แสงแดด หรือทะเลหมอกสีขาวราวปุยนุ่น แต่การเดินทางไปยังธรรมชาติเหล่านั้น จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวอย่างดี โดยเฉพาะสัมภาระต่างๆ ที่จะเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้กับคุณในเวลาเดินทาง วันนี้เรารวบรวมสิ่งของที่จำเป็นและการจัดเป้เดินป่ามาแนะนำกันครับ เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาเดินทางกันจริงๆ จะได้ไม่เกิดฉุกละหุกกันขึ้น



1. ถุงนอน เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ในบรรดาของใช้ต่างๆ เพราะถุงนอนนั้นจะเป็นเครื่องกันหนาวให้ความอบอุ่นแก่เราได้ดีเวลานอน วิธีเลือกซื้อถุงนอนนั้นให้เลือกดูตามขนาดกว้างคูณยาว เช่น หากคุณสูง 176 ให้เลือกถุงนอนขนาด 180 เซนติเมตรขึ้นไป เป็นต้น
2. เต็นท์ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเต็นท์นอนจะเป็นตัวกันน้ำค้างในยามดึกให้กับเรา และยังสามารถบังลมหนาวได้พอสมควร(ขึ้นอยู่กับวัสดุด้วย) การเลือกซื้อเต็นท์นอนที่ถูกวิธีก็คือ ให้เลือกขนาดที่มากกว่าจำนวนคนนอน 1 คน เช่น หากคุณนอนสองคน ให้เลือกเต็นท์ขนาด 3 คนขึ้นไป เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อเผื่อที่ไว้สำหรับสำภาระด้วยไงครับ
3. เสื้อผ้า/รองเท้า เป็นที่รู้กันว่าการเดินทางในป่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกและไม่สบาย ดังนั้นเราจึงควรเตรียมเสื้อผ้าไปด้วยอย่างน้อยสัก 2-3 ชุด ส่วนรองเท้าที่นำไปด้วยควรเป็นแบบใส่สบายๆ แต่มีความทนทานสำหรับเส้นทางในป่า ประเภทรองเท้าผ้าใบสำหรับเดินป่า ซึ่งมีขายตามร้านขายรองเท้าทั่วไปครับ
4. ของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงและยาสีฟัน สบู่ โฟมล้างหน้า ครีมกันแดด ควรเตรียมตัวไปให้พร้อม และที่สำคัญอย่าลืมติดอุปกรณ์กันยุงต่างๆ ไปด้วย เช่นสเปรย์ไล่ยุง หรือครีมกันยุง เพราะในป่านั้นมียุงมาก หากไม่เตรียมไปตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะเกิดความรำคาญได้จนไม่มีความสุขกับการท่องเที่ยว และยังอาจก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมาด้วยครับ
5. ของใช้อื่นๆ ที่จำเป็นในการเดินป่า เช่นมีด ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง และอุปกรณ์ในการจุดไฟ สำหรับดำรงชีวิตในที่ธุรกันดาร นอกจากนั้นแนะนำให้ติดพวกชุดปฐมพยาบาล ยากันสัตว์ร้ายจำพวกทาก หรือยาแก้ไข้ต่างๆ ไปด้วย เพราะการเดินทางในป่าอาจเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา และอีกอย่างที่แนะนำก็คือพวกอาหารกระป๋องสำรอง สัก 2-3 วัน ในกรณีที่เกิดการหลงป่าขึ้น อาหารพวกนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องอด หรือเสี่ยงกับการรับประทานอาหารที่เป็นพิษในป่าได้ครับ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นของที่ควรจะติดตัวไปด้วยหากต้องเดินทางภายในป่า หรือท่องเที่ยว ส่วนเคล็ดลับการจัดของลงเป้นั้น ควรนำเอาของที่มีน้ำหนักหรือกินเนื้อที่มากลงไปก่อนครับ จากนั้นค่อยใส่ของอื่นๆ ที่มีขนาดลดหลั่นกันตามลงไป เท่านี้เป้ของคุณก็จะถูกใช้สอยพื้นที่อย่างคุ้มค่า ขอให้เที่ยวกันอย่างสนุกครับ

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

4 สิ่งจำเป็น สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเล เพื่อวันพักผ่อนที่แสนสบาย

แม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่หน้าหนาว แต่ทะเลบ้านเรานั้นก็ยังได้รับความนิยมในด้านการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีครับ โดยเฉพาะภาคใต้นั้น สาเหตุก็เพราะทะเลบ้านเราไม่มีได้รับอิทธิพลจากความหนาวเย็นเหมือนภาคอื่นๆ ทางตอนบน ดังนั้นจึงมักจะมีนักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ แวะเวียนกันไปพักผ่อนอยู่ตลอดทั้งปี (ที่ต้องระวังก็แค่มรสุม) และวันนี้เราจะมานำเสนอวิธีการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเลกันครับ ว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อจะไม่ให้วันท่องเที่ยวของเราต้องฉุกละหุก



1. เสื้อผ้า อันดับแรกเลยที่สำคัญเราต้องเตรียมเสื้อผ้าไปครับ โดยเฉพาะชุดว่ายน้ำหากต้องการเน้นที่กิจกรรมในทะเล เช่นลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือนอนอาบแดดตามหาดทราย ซึ่งต้องใช้ชุดที่เหมาะสมกับสภาพสิ่งแวดล้อม ทะเลบ้านเรานั้นเป็นทะเลที่มีอากาศร้อน ดังนั้นชุดที่เตรียมไปควรเป็นชุดที่ใส่สบาย และไม่ฟิตจนเกินไปนัก แต่ก็อย่าให้ล่อแหลมมากนักนะครับ สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย
2. ครีมกันแดด แน่นอนว่ากิจกรรมยอดฮิตอีกอย่างหนึ่งของการเที่ยวทะเลคือการอาบแดด แต่สำหรับทะเลบ้านเราก็อย่างที่บอก ว่าเป็นทะเลในโซนร้อน แดดยามกลางวันก็จัดได้ว่าร้อนมากกว่าทะเลในโซนยุโรป หรืออเมริกา ดังนั้นสิ่งที่ควรเตรียมไปด้วยสำหรับผู้ชื่นชอบการอาบแดดเป็นชีวิตจิตใจก็คือ ครีมกันแดดนั่นเองครับ ซึ่งควรจะเป็นครีมที่มีค่า SPF สูงสักหน่อย (ดูที่ข้างผลิตภัณฑ์) ซึ่งค่าที่แนะนำคือ SPF 30-50 ขึ้นไปจะดีที่สุดครับ
3. ของใช้ส่วนตัวต่างๆ เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ครีมอาบน้ำ แชมพู ซึ่งของเหล่านี้บางคนอาจจะแย้งว่าไม่จำเป็นต้องเอาไปด้วยก็ได้ เพราะมีขายอยู่ทุกที่ แต่ขอแนะนำว่าการเตรียมตัวไปล่วงหน้าจะดีที่สุดครับ เพราะบางทีไปถึงที่เที่ยวแล้วเกิดลืมซื้อขึ้นมา ก็จะทำให้ฉุกละหุกขึ้นมาได้ หรือบางสถานที่ก็ไม่มีร้านขายของเสียอีก ดังนั้นการจัดเตรียมของเหล่านี้ไปจากบ้านจะดีกว่า
4. กล้องถ่ายรูป สำหรับเก็บบันทึกความทรงจำ และภาพสวยๆ ที่ได้จากการท่องเที่ยว เพราะคงไม่มีใครอยากจะไปเที่ยวเฉยๆ กันหรอกนะครับสมัยนี้ ภาพสวยๆ ที่คุณได้มานั้น นอกจากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำส่วนตัวแล้ว ยังสามารถแบ่งปันตามโลกสังคมออนไลน์ต่างๆ ให้เพื่อนๆ ของคุณได้เห็นถึงความงดงามในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นได้อีกด้วยครับ ถือว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง
การเตรียมตัวไปทะเลนั้น เป็นเรื่องที่หลายๆ คนมองข้ามเพราะคิดว่าเอาอะไรไปแค่ไหนก็ได้ แต่บางครั้งเรื่องง่ายๆ นี่แหละคับ ที่สร้างความเร่งรีบให้กับเราได้ ดังนั้นการเตรียมตัวไปเที่ยวทะเล จึงต้องมีการเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ จัดของทุกอย่างไปให้เรียบร้อย ดีกว่าไปถึงที่แล้วบ่นว่าลืมนั่นลืมนี่ ขอให้เพื่อนๆท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

5 วิธีการเลือกซื้อเต็นท์นอน เตรียมของให้พร้อมก่อนออกเดินทาง

การนอนเต็นท์นั้นสามารถช่วยให้เราสัมผัสได้กับความเป็น แคมปิ้ง อย่างได้อารมณ์มากกว่าการพักนอนแบบอื่น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เต็นท์นอน นั้นเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุด สำหรับผู้หลงใหลการเดินป่าจะต้องมีติดตัวไว้อย่างขาดไม่ได้ ซึ่งเจ้าเต็นท์นอนเหล่านี้ก็มีหลากหลายชนิดแตกต่างกันไป จนบางครั้งผู้ใช้งานก็อาจเกิดความสับสนได้ว่า เต็นท์แบบใดหรือชนิดไหนเหมาะกับตนเองหรือกิจกรรมที่ต้องทำ วันนี้เราจึงมีวิธีการเลือกซื้อเต็นท์ที่ถูกวิธีมาฝากกันครับ



1. เลือกให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่างๆ ที่ทำ ซึ่งแตกต่างกันออกไป เช่น กิจกรรมแคมปิ้ง เต็นท์ที่ควรเลือกซื้อ ควรเป็นเต็นท์แบบวัสดุดี แม้จะมีน้ำหนักมาก แต่สามารถบรรทุกไปในรถหรือพาหนะอื่นๆ ได้ ต่างกับกิจกรรมประเภทแบ็คแพ็ค หรือการเดินทางประเภทปั่นจักรยานทางไกล ที่มักจะต้องแบกเต็นท์นอนติดหลังไปด้วยตลอดเวลา ซึ่งเต็นท์ที่เลือกควรเป็นเต็นท์ที่มีน้ำหนักเบา
2. เลือกเต็นท์ให้เหมาะสมกับจำนวนคน เช่น หากนอนกัน 3 คน ก็ควรเลือกเต็นท์ที่มีพื้นที่ขนาด 4 คน ขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อที่ว่า พื้นที่ว่างที่เกินมานั้น จะเผื่อไว้สำหรับการเก็บสัมภาระต่างๆ และจะได้ไม่ต้องนอนเบียดกันนั่นเอง
3. เลือกเต็นท์ที่เหมาะสมกับฤดู ซึ่งวัสดุที่เหมาะสมสำหรับพักแรมในฤดูต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ฤดูฝนให้เลือกเต็นท์ที่มีเนื้อผ้าเคลือบน้ำยากันน้ำได้ หรือมีผ้าฟลายชีทติดมาในชุด เพราะผ้าชนิดนี้จะสามารถกันน้ำฝนในยามที่คุณนอนหลับพักผ่อนได้ เต็นท์สำหรับฤดูร้อน ควรเป็นผ้าเนื้อบาง สามารถระบายลมได้ดี และเต็นท์สำหรับหน้าหนาว ควรเป็นเต็นท์ที่มีผ้าเนื้อหนากันลมหนาวที่โกรกยามกลางคืนได้ เป็นต้น
4. เลือกซื้อตามคุณภาพของวัสดุ ซึ่งก็มีหลากหลายแตกต่างกันออกไป แนะนำว่าการเลือกซื้อไม่ควรเลือกเพราะราคาที่ถูก ซึ่งมักจะได้วัสดุที่ไม่ดี ควรเลือกเต็นท์ที่ทำจากวัสดุคงทน หรือเต็นท์ที่มียี่ห้ออันเชื่อถือได้ ซึ่งราคาก็ย่อมแพงกว่าเป็นธรรมดา แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้รับ ส่วนข้อมูลของเต็นท์แต่ละชนิดนั้น ควรสอบถามกับพนักงานขายโดยตรงจะได้รายละเอียดที่ถูกต้องที่สุดครับ
5. ควรเลือกซื้อเต็นท์ที่มีอุปกรณ์ต่างๆ แถมมาให้ในชุดอย่างครบถ้วน เช่น สมอบก ฟลายชีท ฯลฯ ทั้งนี้เพราะบางยี่ห้อ(ที่ไม่ค่อยดีนัก) มักจะมีอุปกรณ์เหล่านี้มาให้ไม่ครบนั่นเอง ดังนั้นผู้ซื้อควรตรวจสอบดูให้แน่ชัดก่อนเลือกซื้อครับ
จะเห็นได้ว่าการเลือกซื้อเต็นท์นั้น ก็แตกต่างกันไปตามแต่กิจกรรม หรือสถานที่ที่ใช้งาน แต่ก็ต้องรู้จักใช้อย่างถูกวิธีกันด้วยนะครับ เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานให้เต็นท์ของคุณนั่นเอง ขอให้เที่ยวกันอย่างมีความสุขนะครับ

วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

6 วิธีแก้อาการเมารถง่าย แบบได้ผลจริง เวียนหัว คลื่นไส้ขณะเดินทางป้องกันอย่างไรดี

ผมเชื่อว่าถ้าถามคำถามประเภท “ใครเคยเมารถบ้างยกมือขึ้น” ก็คงมีไม่น้อยที่ยกมือกันพรึบพรับ เพราะอาการเมารถนั้นมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ที่ไหนและเมื่อไหร่ก็ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมักจะสร้างความวิงเวียน ปวดหัว และกระอักกระอ่วน คลื่นไส้ให้กับผู้ที่มีอาการอยู่เป็นระลอก และที่ร้ายที่สุดก็จะทำให้ผู้มีอาการชนิดนี้อาเจียนออกมา ซึ่งทรมานไม่ใช่เล่นแถมยังเลอะเทอะอีกต่างหาก ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากจะนำเสนอวิธีการแก้อาการเมารถมาฝากกันครับ



1. พยายามนั่งรถบริเวณส่วนหน้าของรถ ประสาทส่วนต่างๆ ของเราจะได้รับรู้ถึงจังหวะการเคลื่อนตัว รวมถึงอาการโคลงเคลงของรถได้ จากการทดลองพบว่าวิธีนี้ช่วยให้ผู้ชอบเมารถ มีอาการลดลงได้อย่างมาก ทั้งนี้ก็เพราะประสาทของเรารับรู้ความเคลื่อนไหวของรถ และปรับตัวตามนั่นเอง
2. ห้ามอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์ในขณะที่กำลังนั่งรถ ทั้งนี้ก็เพราะจะทำให้ประสาท หรือสมาธิของเราจดจ่ออยู่ที่ตรงข้างหน้าเท่านั้น และอาการที่ตามมาก็คือร่างกายปรับสมดุลตามการเคลื่อนไหวของรถไม่ได้ อาการเมาจึงมักจะเกิดขึ้นกับคนที่มีพฤติกรรมอ่านหนังสือ/เล่นโทรศัพท์บนรถ ดังนั้นในขณะนั่งรถ เราจึงไม่ควรจ้องหรือเพ่งอะไรอยู่ที่จุดเดียว และพยายามมองวิวทิวทัศน์ภายนอกบ่อยๆก็จะช่วยลดอาการลงได้
3. จิบหรือดื่มน้ำอัดลมในปริมาณพอเหมาะ วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่รู้สึกมวนท้องมากๆ เพราะน้ำอัดลมจะไปช่วยขับดันกรดในกระเพาะออกมา สามารถลดอาการมวนท้องลงได้พอสมควร และนอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการมวนท้องควรสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในระหว่างที่เกิดอาการ ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้ความรู้สึกวิงเวียนนั้นลดลงได้ครับ
4. ยาหม่อง ยาดม ยาอม ยาหอม ช่วยท่านได้ เมื่อเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ลองหยิบขึ้นมาสูดดมจะช่วยบรรเทาอาการได้ดีทีเดียว
5. กินยาแก้เมารถ เช่น ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) ปัจจุบันยาประเภทนี้มักมีขายตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป เหมาะสำหรับคนที่เริ่มมีอาการเมารถเกิดขึ้น ยาตัวนี้จะช่วยปรับความสมดุลของระบบประสาท ช่วยให้ร่างกายปรับตัวตามการเคลื่อนไหว หรือโคลงเคลงของรถ และขณะที่ยาตัวนี้กำลังออกฤทธิ์ จะทำให้ผู้ที่รับประทานเกิดอาการง่วงซึม แนะนำว่าให้หลับไปเลยก็ได้ครับ เพราะการนอนหลับระหว่างการเดินทางก็เป็นการแก้อาการเมารถชนิดหนึ่งเช่นกัน
6. รับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่นมะม่วง มะดัน หรือมะขาม ซึ่งรสเปรี้ยวจากผลไม้จะชนิดนี้จะสามารถช่วยลดอาการเมาหรือวิงเวียนลงได้พอสมควร แต่แนะนำว่าอย่ากินเยอะ เพราะจะเกิดกรดในกระเพาะ และทำให้ท้องเสียได้ ทีนี้แย่ยิ่งกว่าเมารถอีกนะครับ
นอกจากนี้ สำหรับคนที่ลองทำทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ผล แนะนำให้ลงจากรถ แล้วหาที่ตั้งสติปรับสมดุลของร่างกายสักครู่แล้วค่อยออกเดินทางต่อ การที่ร่างกายได้พักและปรับตัวจะทำให้อาการเมารถลดลงได้เช่นกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

งูผสมพันธุ์กันอย่างไร วันนี้เราจะพาไปดูพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของงูกัน

งูนั้นเป็นสัตว์ที่หลายๆ คนนั้นเกลียดและกลัวเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ด้วยรูปร่างที่น่าสะพรึงกลัว และด้วยพิษที่ร้ายแรง (งูบางชนิด) ทำให้ใครหลายๆ คนร้องยี้เมื่อพูดถึงมัน แต่วงจรชีวิตของงูนั้นมีอะไรน่าสนใจมากครับ ทั้งนั้นเพราะมันเป็นตัวที่ไม่มีเท้า หรืออวัยวะสืบพันธุ์ให้เห็นกันจะๆ แบบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อีกทั้งยังมีพฤติกรรมการสมสู่ที่ดูลึกลับ และไม่ค่อยจะมีใครได้พบเห็นพฤติกรรมแบบนั้นของมันสักเท่าไหร่ ดังนั้นวันนี้เราจะพาท่านไปดูวิธีการสืบพันธุ์ของเจ้าอสรพิษกันครับ



งูส่วนใหญ่นั้นมีการใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยว มักจะอาศัยและออกหากินตามลำพังมากกว่าอยู่ด้วยกันเป็นฝูง ด้วยความที่งูส่วนใหญ่มีพิษมาก จึงไม่ค่อยมีศัตรูในธรรมชาติมากนักเหมือนสัตว์ชนิดอื่น แต่เมื่อถึงฤดูที่มันต้องวางไข่หรือผสมพันธุ์ งูจะเข้ามารวมกลุ่มกันเพื่อเลือกคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งฤดูผสมพันธุ์ที่ว่านี้ไม่ได้แน่นอนเหมือนสัตว์ประเภทอื่น เพราะเจ้างูนี้จะมีความสามารถในการเลื่อนระยะเวลาสืบพันธุ์ออกไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับมนุษย์เลยครับ ดังนั้นจะพูดได้ว่ามันจะสืบพันธุ์จริงๆเมื่อถึงตอนที่มันอยากก็คงไม่ผิดนัก
เมื่อถึงฤดูที่มันอยากจะผสมพันธุ์ งูจะออกตามหาคู่ที่ตามป่าหรือเขา หรือสถานที่ต่าง ๆ แต่ก็มีบางสายพันธุ์นะครับที่มันอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ อยู่แล้ว ซึ่งเจ้างูสายพันธุ์ที่ว่านี้ก็จะเลือกจับคู่กันเอง ไม่ออกหาคู่เหมือนงูสายพันธุ์อื่น ซึ่งมักจะพบเห็นงูสายพันธุ์ที่ว่านี้ในถ้ำลึก หรือในป่าโดยทั่วไปแล้วนั้นเมื่อมันพบคู่ของมัน ตัวผู้จะทำการเกี้ยวหรือกอดรัดหรือเกี้ยวตัวพันรอบตัวเมีย และใช้อวัยวะเพศของมันสอดเข้าไปที่อวัยวะเพศของตัวเมียเพื่อปล่อยน้ำเชื้อ โดยอวัยวะเพศของงูนั้นจะอยู่บริเวณโคนหางซึ่งซ่อนอยู่ในเปลือกหรือเกล็ดงู เจ้าอวัยวะเพศนี้ ถ้าไม่สังเกตดีๆหรือเข้าไปดูใกล้ๆนั้น ไม่มีทางมองออกเลยว่า ตัวไหนเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย บางสำนักวิจัยที่มีการทดลองหรือศึกษาเกี่ยวกับงูนั้น ต้องบีบหรือจับดูที่โคนหาง จึงจะสามารถมองเห็นอวัยวะส่วนนี้ของงูได้
เมื่องูผสมพันธุ์เสร็จแล้วมักจะแยกย้ายกันออกไป โดยตัวเมียนั้นจะเสาะหาสถานที่วางไข่ โดยมากมักจะเป็นสถานที่ที่มีความอบอุ่นและปลอดภัย โดยหลังจากการวางไข่ประมาณ 3 เดือนไข่ก็จะสามารถฟักออกมาเป็นตัวได้นั่นเอง
แม้ว่างูจะเป็นสัตว์ร้ายที่มีหลายๆ คนไม่อยากจะเข้าใกล้ แต่ก็มีคนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมันน้อยเหลือเกินครับ เชื่อว่าถ้าเดินไปถามใครสักคนว่า อวัยวะเพศของงูอยู่ตรงไหน ก็คงมีน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องเหล่านี้

ช้างตกมันคืออะไร ทำไมอยู่ๆช้างถึงตกมัน ดุร้ายและอาละวาด

ช้างเป็นสัตว์ที่มีขนาดสูงใหญ่ รูปร่างสง่างาม น่าเกรงขาม จนปรากฏตามข่าวหลายครั้งว่า เกิดเหตุการณ์ช้างตกมันทำร้ายคน “ช้างตกมัน” แท้จริงแล้วคืออะไร เพราะเหตุใดช้างจึงตกมัน
ช้างที่มีอาการตกมันแสดงว่าช้างเชือกนั้น มีความสมบูรณ์ที่สุดและมีความตื่นตัวทางเพศอย่างเต็มที่ เกิดได้กับทั้งช้างเพศผู้และช้างเพศเมีย ที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์ผสมพันธุ์ได้ คืออายุระหว่าง 20-40 ปี โดยต่อมที่ขมับทั้งสองข้างจะบวมขึ้นจนเห็นได้ชัด รูของต่อมจะเปิดกว้างออก มีสารคัดหลั่งเป็นน้ำเมือกสีขาวข้นไหลออกมา ซึ่งจะมีกลิ่นเหม็นสาบฉุนที่รุนแรงมาก จึงเรียกว่า “ตกมัน” และหากเกิดในช้างเพศผู้ อวัยวะสืบพันธุ์จะแข็งและมีปัสสาวะไหลออกมากะปริบกะปอย อาจมีน้ำอสุจิไหลออกมาด้วย

ช้างที่ตกมันจะมีอาการก้าวร้าว ดุร้าย ทำลายสิ่งขวางหน้าทุกอย่าง รวมทั้งทำร้ายเจ้าของหรือคนเลี้ยงด้วย โดยช่วงที่จะเกิดหรือเกิดอาการตกมันเจ้าของช้างจะทราบล่วงหน้าจากการบวมที่ขมับทั้งสองข้างของช้าง จะต้องป้องกันโดยการล่ามโซ่ให้ใหญ่ขึ้น ล่ามไว้ในที่แน่นหนาและแข็งแรง จะก่อไฟไว้รอบๆ เพราะควันไฟจะช่วยไม่ให้ช้างตัวอื่นที่ไม่ได้ตกมันได้กลิ่นน้ำมันของช้างตกมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ช้างอื่นเข้ามาทำร้ายช้างตกมัน อาการตกมันจะเกิดประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยจะค่อยๆ บรรเทาลง เจ้าของจะให้ช้างกินอาหารในปริมาณที่น้อย จะเน้นให้กินฟักเขียว เพราะมีฤทธิ์เย็นช่วยให้ช้างอารมณ์ดีขึ้น อาหารตกมันอาจขึ้นขึ้นได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี เมื่อหายเป็นปกติแล้วก็สามารถนำช้างกลับมาใช้งานได้ตามเดิม
อย่างไรก็ตามเมื่อพบเห็นช้างตกมัน ก็ควรมีสติ ไม่ควรเข้าใกล้เพราะช้างอาจทำร้ายเราได้ ดังที่ปรากฏในข่าวมาแล้ว