วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไกร สรรพคุณและประโยชน์ของต้นไกร

ไกร

ไกร ชื่อสามัญ Sea Fig, Deciduous Fig
ไกร ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus superba Miq.[2], Ficus superba Miq. Var japonica Miq.[1] จัดอยู่ในวงศ์ขนุน (MORACEAE)[2]
สมุนไพรไกร มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ฮ่าง (ลำปาง), โพไทร (นครราชสีมา), เลียบ ไกร (กรุงเทพฯ), ไทรเลียบ (ประจวบคีรีขันธ์) เป็นต้น[1],[2],[4]

ลักษณะของไกร

  • ต้นไกร จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงได้ประมาณ 8-10 เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปไข่ มียางสีขาว เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีเทา ทุก ๆ ส่วนเกลี้ยงยกเว้นหูใบ มีรากอากาศรัดพันเล็กน้อย พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในจีน ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง มีเขตการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยจะขึ้นอยู่บนพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงที่ความสูงประมาณ 150 เมตร[2],[3]
ต้นเลียบ
ต้นไกร
  • ใบไกร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือรูปไข่กลับ ปลายใบแหลมเป็นติ่งหรือเรียวแหลม โคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-13 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-25 เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างหนาและเหนียว สีเขียวเข้มและเป็นมัน เส้นแขนงใบมีข้างละ 6-8 เส้น ปลายโค้งจรดกันก่อนถึงขอบใบ ก้านใบเล็ก ยาวได้ประมาณ 8-14 เซนติเมตร ใบอ่อนเป็นสีแดง หูใบมี 2 อัน ประกบกันหุ้มยอดอ่อน ลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายแหลม ยาวได้ประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีขนสั้น ๆ สีเหลืองอ่อน ร่วงได้ง่าย ออกเป็นคู่ตรงง่ามใบ หรือที่ตำแหน่งง่ามใบซึ่งใบร่วงไปแล้ว เมื่อยังอ่อนจะมีขนอ่อน ๆ สั้น ๆ เมื่อแก่แล้วจะเกลี้ยง มีใบประดับซึ่งร่วงง่าย 3 ใบ[2],[3]
ใบไกร
  • ดอกไกร ดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง ออกเป็นช่อรูปร่างคล้ายผล คือ มีแกนกลาง ช่อดอกเจริญแผ่ขยายใหญ่เป็นกระเปาะมีรูเปิดที่ปลายโอบดอกไว้ ดอกนั้นมีขนาดเล็กเป็นแบบแยกเพศในกระเปาะ โดยดอกเพศผู้จะมีจำนวนน้อยมาก อยู่ใกล้ ๆ กับรูเปิดของช่อดอก ก้านดอกมีขนาดเล็ก กลีบรวมมี 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่ สั้นกว่าเกสรเพศผู้ ก้านเกสเพศผู้หนา ส่วนดอกเพศเมียจะมีอยู่จำนวนมาก มีกลีบรวมสั้น ๆ อยู่ 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลับ เกสรเพศเมียยาว จะอยู่ทางด้านข้างของรังไข่ ดอกจะออกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน[2],[3]
ดอกไกร
  • ผลไกร ผลเป็นผลสดแบบมะเดื่อ สีขาวอมชมพู ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแกมรูปไข่กลับ กลมแป้น หรือเป็นรูปหัวใจกลับ ออกเป็นคู่ที่กิ่งเหนือรอยแผลของใบ ผลมีขนาดประมาณ 1.8-2.5 เซนติเมตร ผลเป็นสีเขียว มีจุดสีครีมกระจายอยู่ทั่วผล เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมชมพูมีจุดสีน้ำตาล ที่ปลายมีวงแหวน นูนมีรอยบุ๋ม ภายในมีเมล็ดทรงกลมสีดำอยู่เป็นจำนวนมาก ก้านผลยาวประมาณ 0.7-1.5 เซนติเมตร จะออกผลในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน[2],[3]
ผลไกร

สรรพคุณของไกร

  • ใช้เป็นยาแก้เบาหวาน ในประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ.1981 ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจาต้นไกรในสัตว์ทดลอง ผลการทดลองพบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[1][4]
  • ใบใช้เป็นยาแก้ผดผื่นคัน เข้ายาทาฝี แก้ริดสีดวง แก้เมื่อยขบ (ใบ)[4]
  • รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคทางปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้ตับพิการ และเป็นยาระบาย (ราก)[4]
  • เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องร่วง (เปลือกต้น)[4]
  • เนื้อไม้ใช้เป็นยาสมานและคุมธาตุ (เนื้อไม้)[4]

ประโยชน์ของไกร

  • ผลสุกใช้รับประทานได้ และเป็นอาหารของนกและสัตว์ต่าง ๆ[4]
  • ใบอ่อนและใบอ่อนสามารถนำมารับประทานเป็นผักได้[4]
  • ใช้ปลูกเป็นไม้แคระประดับ[3]
References
  1. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “เลียบ”.  หน้า 137.
  2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “ไกร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/.  [16 ก.ค. 2015].
  3. ไทยเกษตรศาสตร์.  “ไกรไม้แคระประดับ”.  อ้างอิงใน: หนังสือวัลลิ์รุกขบุปผชาติ ตามรอยพระบาทบรมราชกุมารี.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com.  [16 ก.ค. 2015].
  4. ระบบฐานข้อมูลพรรณไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน เพื่อลดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ภายใต้โครงการชุมนอยู่คู่อุตสาหกรรม, สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.).  “เลียบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: onep-intranet.onep.go.th/plant/.  [16 ก.ค. 2015].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Cerlin Ng, 潘立傑 LiChieh Pan, 加菲老爺, loupok)

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เสจ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นเสจ 35 ข้อ ! (Sage)

เสจ (Sage)

เสจ หรือ เซจ มีชื่อสามัญว่า Sage, Common Sage, Garden Sage, Gaster Sage, True Sage[1]
เสจ ชื่อวิทยาศาสตร์ Salvia officinalis Linn. จัดอยู่ในวงศ์ LAMIACEAE[1]

ลักษณะของเสจ

  • ต้นเสจ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มหรือกึ่งพุ่ม ลำต้นมีความสูงได้ประมาณ 15-45 เซนติเมตร ลำต้นใสและฉ่ำน้ำ ออกจากรากใต้ดิน แตกกิ่งก้านตรงข้ามกัน กิ่งก้านตอนบนมักมีดอก พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดและแพร่พันธุ์ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน มีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติทั่วยุโรป และมีการเพาะปลูกในแถบอเมริกาเหนือ[1]
ต้นเสจ
  • ใบเสจ ใบออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลมหรือทู่ โคนใบกลมหรือกึ่งหัวใจ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-2.6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2-10 เซนติเมตร ผิวใบก้านบนใสสีเขียวอมเทา (ใบอ่อน) เส้นกลางใบลึกเป็นร่อง ส่วนผิวใบด้านล่างเป็นสีเทา ใส เส้นใบเล็กมาก สานเป็นร่างแห เนื้อใบนุ่ม เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมมาก รสหอมขม ก้านใบยาวได้ถึง 4.5 เซนติเมตร[1]
ใบเสจ
  • ดอกเสจ ดอกเป็นสีน้ำเงิน บางครั้งเป็นสีชมพู หรือขาว[1]
เซจ
ดอกเสจ
ดอกเซจ
  • ผลเสจ ผลมีขนาดเล็กสีดำ[1]
เมล็ดเสจ

สรรพคุณของเสจ

  • กรณีใช้ภายในจะใช้ใบเสจเป็นยารักษาอาการเบื่ออาหาร ลดระดับไขมันเลือด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของความจำ รักษาอาการร้อนวูบวาบจากภาวะหมดประจำเดือน อาการเหงื่อออกมากผิดปกติ แก้อาการลมหายใจเหม็น แก้อาการปวดข้อ อาการปวดศีรษะจากความดัน ใช้ยับยั้งการหลั่งน้ำนมของสตรี ใช้เป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ (ใบ)[1]
  • กรณีใช้เป็นยาภายนอกนั้น จะนิยมใช้เป็นยาล้างแผล รักษาผิวหนังอักเสบ ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก รักษาโรคในช่องปาก กล่องเสียง คอหอย และเหงือกอักเสบ (ใบ)[1]
  • การใช้เป็นยารักษาอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ วิธีแรกให้ใช้ใบแห้ง 20 กรัม นำมาลวกในน้ำร้อน 1 ลิตร โดยแช่ไว้ 15 นาที จากนั้นแยกส่วนของกากออก เอาส่วนของน้ำมาดื่มครั้งละ 200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ส่วนอีกวิธีให้ผสมผงยา 50 กรัม กับน้ำผึ้ง 80 กรัม ใช้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ทั้งเช้าและก่อนนอน (ใบ)[1]
  • การใช้เป็นยาล้างแผลและสมานแผลที่เกิดจากการแพ้หรืออักเสบ รักษาผิวหนังอักเสบ ด้วยการใช้ใบประมาณ 100 กรัม นำมาต้มผสมกับไวน์ขาว 0.5 ลิตร เป็นเวลา 1 นาที แล้วนำไปใช้ล้างแผล ส่วนอีกวิธีให้ผสมน้ำมันหอมระเหยประมาณ 2-3 หยด ลงในน้ำ 100 ลิตร หรือผสมสารสกัดแอลกอฮอล์ 5 กรัม ลงในน้ำ 1 แก้ว แล้วนำไปล้างใช้แผล (ใบ)[1]
  • นอกเหนือจากสรรพคุณที่กล่าวมาข้างต้น ในข้อมูลจากเว็บไซต์อโรคายังระบุด้วยว่า “สมุนไพรเสจ” นั้นมีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมาธิ ผ่อนคลายความวิตกกังวล แก้เจ็บคอ กล่องเสียงอักเสบ ไซนัสอักเสบ ช่วยลดสารคัดหลั่งในโพรงไซนัสและทางเดินหายใจส่วนบน แก้หวัดคัดจมูก รักษาแผลร้อนใน อาหารไม่ย่อย กลาก ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง บรรเทาอาการสั่น ช่วยบำรุงสุขภาพ แก้กลิ่นตัว และเท้ามีปัญหา[2]
  • นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่นๆ ที่ระบุด้วยว่าเสจมีสรรพคุณช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหรือเกร็งเมื่อยชาตามแขนขา ช่วยปรับสมดุลย์ในผู้หญิงและลดอาการกระวนกระวาย ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง สิว ผมร่วง และอาการผมมัน (ไม่มีแหล่งอ้างอิง)

ข้อควรระวังในการใช้

  • ไม่ควรใช้สมุนไพรชนิดนี้ในระหว่างตั้งครรภ์[1] รวมทั้งหญิงให้นมบุตร และห้ามให้เด็กกินในปริมาณเทียบเท่ายา[1]
  • หากรับประทานสารสกัดแอลกอฮอล์หรือส่วนของน้ำมันหอมระเหยมากเกินกว่านาดที่กำหนด อาจทำให้เกิดภาวะไวต่อความร้อน หัวใจเต้นเร็ว มีอาการเวียนศีรษะ และชักเป็นลมบ้าหมูได้ ส่วนการใช้สารสกัดแอลกอฮอล์หรือน้ำมันหอมระเหยเป็นระยะเวลานาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดอาการชักและเกิดอาการลมบ้าหมูได้เช่นกัน[1]
  • สาร thujone ในขนาดสูง อาจทำให้เกิดความเป็นพิษจ่อสมอง การใช้ในขนาดที่ระบุให้ใช้ในหัวข้อข้างต้น เพราะยังไม่พบอาการข้างเคียงหรือความผิดปกติแต่อย่างใด[1]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสจ

  • สารสำคัญที่พบ ได้แก่ cineole,1,8cineole, borneol, camphors, camphene, carnosolic acid, carnosol, carnosic acid, caryophylene (humullene), alpha-caryophyllene, beta-caryophyllene, estrogenic compound, isobutyl acetate, linalool, limonene, phenolic acids (caffeic acid, rosmarinic acid, feruric acid, gallic acids), diterpenes (carnosolic acidmpicrosalvin, rosmanol, safficinolide), triteroenoids (oleanolic acid, ursolic acid), beta-sitosteril, saponins, flavonids (apigenin-7-glucosides, luteolin-7-glucosides, genkwanin, genkwanin-6-methyl ether), flavonoid glycosides, flavones, steroids, tannis (salviatannin), resin, protein, pinene, alpha-pinnene, beta-pinene, viridiflorol, salvin, thujone, alpha-thujone, beta-thujone, Volatile oil (มีข้อกำหนดว่าในน้ำมันหอมระเหยจากส่วนของใบต้องมีปริมาณของ thujone อย่างน้อย 1.5% (v/w) ของน้ำหนักใบเสจแห้ง)[1]
  • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่พบ ได้แก่ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านการก่อกลายพันธุ์ ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส และลดระดับไขมันในเลือด[1]
  • จากการศึกษาฤทธิ์ลดระดับไขมันในเลือด พบว่าสารสกัดเมทานอลจากใบเสจมีฤทธิ์ต้านการเพิ่มขึ้นของ triglyceride ในหนูถีบจักรที่ได้รับอาหารไขมันสูง และมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ pancreatic lipase [1]โดยสารสำคัญที่พบคือ carnosic acid, carnosol, royleanonic acid, 7-methoxyrosmanol, oleanolic acid โดยค่า IC50 ของ carnosic acid และ carnosol ในการยับยั้งเอนไซม์ pancreatic lipase คือ 12, 14 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ และการให้หนูถีบจักรกิน carnosic acid ในขนาด 5-20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ยังช่วยยับยั้งการเพิ่มขึ้นของ triglyceride ในหนูถีบจักรที่ได้รับอาหารไขมันสูงด้วย นอกจากนี้การให้หนูถีบจักกิน carnosic acid ขนาด 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ยังช่วยลดน้ำหนักตัวและลดการสะสมไขมันในร่างกายของหนูถีบจักรทดลองได้อีกด้วย[1]
  • การศึกษาในผู้ป่วยที่เหงื่อออกมากผิดปกติ เมื่อได้รับยาชงและผงแห้งของสารสกัดด้วยหรือได้รับยาเตรียมในขนาดที่เทียบเท่ากับส่วนของใบ 2.6-4.5 กรัม เป็นประจำทุกวัน พบว่าสามารถช่วยลดภาวะเหงื่อออกมากได้[1]
  • ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคอัลไซเมอร์ในระดับอ่อนถึงปานกลาง เมื่อได้รับสารสกัดแอลกอฮอล์จากส่วนของใบเสจในขนาด 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 4 เดือน จะมีอาการของโรคลดลง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากน้ำมันหอมระเหย[1]
  • การใช้สารสกัดของใบเสจร่วมกับ อัลฟัลฟ่า ( Medicago sativa L.) จะช่วยให้อาการร้อนวูบวาบและมีเหงื่อออกในตอนกลางคืนจากภาวะประจำเดือนดีขึ้นได้ เมื่อทำการทดลองใช้เป็นระยะเวลา 3 เดือน[1]
  • จากการศึกษาในกลุ่มคนหนุ่มสาวเมื่อปี ค.ศ.2005 ที่มีสุขภาพดี พบว่าสมุนไพรเสจสามารถช่วยลดความกังวลและช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นในระหว่างการทดสอบที่ผู้เข้ารับการทดลองต้องทำงานในหลายภารกิจ[2]
  • ส่วนการทดลองในปี ค.ศ.2009 นักวิจัยชาวโปรตุเกสได้ตีพิมพ์ผลการศึกษานำร่องว่าด้วยศักยภาพของสมุนไพรเสจในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงที่มีสุขภาพดี การศึกษาในผู้หญิง 6 ราย ที่ดื่มชาเสจ 300 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ แม้ว่าจะไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แต่หลังจากสัปดาห์ที่ 8 ก็พบว่าผู้เข้ารับการทดลองมีระดับไขมันร้าย (LDL) ลดลง 12.4% และมีระดับไขมันดีเพิ่มขึ้น 50.6% อีกทั้งยังพบด้วยว่าการดื่มชาเสจสามารถช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือดได้อีกด้วย[2]
  • จากการศึกษาทางพิษวิทยา พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากส่วนที่อยู่เหนือดินซึ่งมีสาร cis-thujone, -humulene, 1,8-cineolel, E-caryophyllene, bornrol เมื่อทดสอบความเป็นพิษกับเซลล์ตับของหนูขาว ก็พบว่าขนาดที่น้อยกว่า 200 นาโนลิตรต่อมิลลิลิตร จะไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษ แต่ถ้าให้ในขนาด 2,000 นาโนลิตรต่อมิลลิลิตร จะตรวจพบ lactate dehydrogenase รั่วจากเซลล์ตับ และทำให้ glutathione ลดลงด้วย ซึ่งแสดงถึงการที่เซลล์จับถูกทำลาย การทดลองให้หนูถีบจักรที่ถูกชักนำให้ตับเป็นพิษด้วยสาร carbon tetrachloride ดื่มชาที่ชงจากส่วนเหนือดินของต้นเสจ ก็พบว่าจะทำให้ตับถูกทำลายมากขึ้น โดยสังเกตได้จากการเพิ่มระดับของเอนไซม์ transaminase และสภาพของเนื้อเยื่อตับที่ถูกทำลาย ดังนั้น แม้ว่าชาชงของเสจจะไม่มีความเป็นพิษโดยตรง แต่ก็ควรใช้อย่างระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยาที่ถูก metabolize ด้วยเอนไซม์ที่ตับ[1]

ประโยชน์ของเสจ

  • ใบสามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นอาหารได้[3]
  • ใบใช้เป็นยาบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ช่วยแก้ปัญหารังแค อาการคันหนังศีรษะ และปัญหาหนังศีรษะแห้งได้ดี เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการก่อตัวของรังแคได้ โดยยังคงความชุ่มชื้นของหนังศีรษะเอาไว้[3]
  • น้ำมันจากดอกเสจ (Sage Essential Oil) สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและใช้ในสปาได้
  • ชาวโรมันถือว่าเสจเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และมีการจัดพิธีเก็บเกี่ยวให้โดยเฉพาะ[2]
References
  1. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “Sage”  หน้า 223-224.
  2. อโรคา108.  “เสจ ยอดสมุนไพรมากสรรพคุณทางยา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.aroka108.com.  [12 ก.ค. 2015].
  3. กระปุกดอทคอม.  “บำรุงผมสวยแบบปลอดเคมี จาก 8 พืชสมุนไพรธรรมชาติ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: women.kapook.com.  [12 ก.ค. 2015].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by julia_HalleFotoFan, andreasbalzer, Irene Grassi, qooh88, naturgucker.de / enjoynature.net, andreasbalzer, Andrey Zharkikh)

กระเช้าผีมด สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกระเช้าผีมด 16 ข้อ !

กระเช้าผีมด

กระเช้าผีมด ชื่อสามัญ Indian Birthwort[3], Dutchman’s pipe
กระเช้าผีมด ชื่อวิทยาศาสตร์ Aristolochia tagala Cham. จัดอยู่ในวงศ์ ARISTOLOCHIACEAE[3]
สมุนไพรกระเช้าผีมด มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ปุลิง (เชียงใหม่), กระเช้ามด กระเช้าสีดา (กรุงเทพฯ)[1], กระเช้ามด กระเช้าผีมด (ภาคกลาง)[3], เจี่ยต้าสู่ เอ่อเย่หม่าเอ๋อหลิน เฮยเมี่ยนฝังจี่ มู่ฝังจี่ (จีนกลาง)[2][7] ผักข้าว ผักห่ามป่าย ผักห่ามหนี (คนเมือง), ชั้วมัดหลัว (ม้ง), คอหมู่เด๊าะ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), บ่ะหูกว๋าง พ่วน ลำเด่อ (ลั้วะ)[7] เป็นต้น

ลักษณะของกระเช้าผีมด

  • ต้นกระเช้าผีมด จัดเป็นพรรณไม้เถาเลื้อย ลำต้นเป็นเถา ผิวเป็นร่องไปตามยาวของลำเถา ลำต้นเมื่อยังอ่อนจะมีขน และขนจะค่อย ๆ หลุดร่วงไปจนเกือบเกลี้ยงหรือเกลี้ยง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีเขตการกระจายพันธุ์ในจีน อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ พม่า กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ตลอดจนถึงหมู่เกาะโซโลมอนและทวีปออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นกระจายพันธุ์ในจังหวัดเชียงใหม่ ตาก จันทบุรี กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี ตรัง ภูเก็ต และจังหวัดนครศรีธรรมราช ตามป่าดิบ ป่าเบญจพรรณ ที่โล่งแจ้งและบนดินปนทราย บนพื้นที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 5-1,030 เมตร[2],[3]
ต้นกระเช้าผีมด
เถากระเช้าผีมด
  • ใบกระเช้าผีมด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบมีหลายแบบ ตั้งแต่รูปไข่ไปขนถึงรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบเว้าลึกเป็นรูปหัวใจหรือรูปติ่งหู ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5.8-7.6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 9.5-16.5 เซนติเมตร ใบที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะเกลี้ยงทั้งสองด้าน นอกจากเส้นใบและเส้นใบย่อยที่อาจมีขน แผ่นใบจะมีต่อมลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ กระจัดกระจาย มีเส้นใบออกจากโคนใบ 3-5 เส้น ส่วนเส้นแขนงใบมีข้างละ 3-4 เส้น เส้นใบย่อยเรียงตามขวางใบคล้ายขั้นบันไกและสานกันเป็นร่างแห เส้นร่างแหนั้นจะเห็นได้ชัดทางด้านล่างมากกว่าด้านบน ก้านใบยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ด้านบนเป็นร่องและมีขนละเอียด ส่วนด้านล่างจะเกลี้ยง[3]
ปุลิง
ใบกระเช้าผีมด
  • ดอกกระเช้าผีมด ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกยาวประมาณ 6-13.5 เซนติเมตร มีขน เป็นดอกที่มีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ในดอกเดียวกัน กลีบดอกมีเพียงชั้นเดียว เชื่อมติดกันเป็นหลอด ที่โคนหลอดจะมีลักษณะป่องเป็นกระเปาะกลม ๆ มีขนาดกว้างและยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร เหนือขึ้นไปจะคอดเป็นหลอดเล็ก ๆ กว้างประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ปลายกลีบนั้นเบี้ยว ข้างหนึ่งจะยื่นยาวออกไป รูปใบหอก มีขนาดกว้างประมาณ 8 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 1.6-2.5 เซนติเมตร ใบประดับมีลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายและโคนของใบประดับแหลม ส่วนขอบมีขน ใบประดับมีขนาดกว้างประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ตามผิวมีขนสั้น ๆ ทั้งสองด้าน ก้านดอกยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน อยู่แนบติดกับก้านเกสรเพศเมีย อับเรณูเป็นรูปรี ยาวได้ประมาณ 1 มิลลิเมตร ยอดเกสรเพศเมียแยกออกเป็นแฉก 6 แฉก เป็นรูปกรวยยาว ปลายมน ส่วนรังไข่อยู่ใต้วงกลีบ มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกเล็ก ๆ มีขนาดกว้างประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร[3]
รูปกระเช้าผีมด
ดอกกระเช้าผีมด
  • ผลกระเช้าผีมด ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม รูปไข่ หรือเป็นรูปขอบขนานแกมรี มีขนาดกว้างประมาณ 2.7-4.3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3.3-5.5 เซนติเมตร ส่วนก้านผลยาวได้ประมาณ 3.3-5.8 เซนติเมตร ผลเมื่อแก่จะแตกออกตามยาวจากขั้วไปยังโคน และก้านผลก็จะแตกแยกออกเป็น 6 เส้น โดยที่โคนก้านและปลายผลยังติดกันอยู่ มีลักษณะรูปร่างคล้ายกระเช้า ภายในผลมีเมล็ดหลายเมล็ด[3]
ผลกระเช้าผีมด
กระเช้ามด
  • เมล็ดกระเช้าผีมด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไข่หัวกลับค่อนข้างป้อม หรืออาจเว้าเล็กน้อยเป็นรูปหัวใจกลับ มีปีก ขนาดกว้างประมาณ 7-8 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ด้านหนึ่งผิวเรียบ ส่วนอีกด้านมีตุ่มขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ห่าง ๆ[3]
เมล็ดกระเช้าผีมด

สรรพคุณของกระเช้าผีมด

  1. ใบ ต้น ราก มีรสเผ็ดขมเล็กน้อย เป็นยาเย็นไม่มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและปอด ใช้เป็นยาช่วยขับพิษร้อนถอนพิษไข้ (ใบ,ต้น,ราก)[2]
  2. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาทำให้ธาตุปกติ (ต้น)[1],[2],[3]
  3. ใบใช้ตำเป็นยาพอกพอกศีรษะลดไข้ (ใบ)[1],[2],[3]
  4. เมล็ดใช้เป็นยาแก้คออักเสบ เป็นไข้ (เมล็ด)[2]
  5. ใช้เป็นยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะที่ติดเชื้อ (ใบ,ต้น,ราก)[2]
  6. ช่วยลดอาการบวมน้ำ (ใบ,ต้น,ราก)[2]
  7. ใบใช้ตำเป็นยาพอกแก้โรคผิวหนัง (ใบ)[1],[2],[3]
  8. ช่วยขับพิษที่ติดจากเชื้อไวรัส หรือพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (ใบ,ต้น,ราก)[2]
  9. ใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้อักเสบ กระเพาะอักเสบ ไขข้อปวดบวม (ใบ,ต้น,ราก)[2]
  10. ใบนำมาเผาให้ร้อน ใช้วางนาบไว้บนท้องหรือตามแขนขาที่บวม จะช่วยแก้อาการปวดบวมได้ (ใบ)[1],[2],[3]
  11. คนเมืองจะใช้ลำต้นนำมาต้มให้เด็กที่มีอาการไม่สบายอาบ (ต้น)[7]
  12. ชาวม้งจะใช้ใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาบรรเทาอาการปวดเอวหรืออาจทุบแล้วใช้ประคบเอว (ใบ)[7]
ขนาดและวิธีใช้ : กรณีใช้ต้มกับน้ำรับประทาน ให้ใช้ครั้งละ 6-12 กรัม หรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรายาตามความต้องการ[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระเช้าผีมด

  • สารที่พบ ได้แก่ Aristolochic acid, Magnoorine เป็นต้น[2]
  • กระเช้าผีมดมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย[5]
  • กรด aristolochic ในกระเช้าผีมดมีความเป็นพิษต่อไจและก่อให้เกิดมะเร็ง[6]

ประโยชน์ของกระเช้าผีมด

  1. ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เป็นพรรณไม้ค่อนข้างหายากชนิดหนึ่ง ไม่ค่อยพบขึ้นในป่าธรรมชาติของบ้านเรานัก ส่วนมากจะนำเข้ามาเป็นไม้ประดับหรือใช้ทำยา[4]
  2. ส่วนของใบใช้เป็นอาหารสำหรับการเลี้ยงผีเสื้อ[4]
  3. ชาวลั้วะจะใช้เปลือกต้นนำมาลอกออกแล้วนำเส้นใยมาสานสวิงได้เหมือนเส้นใยเพียด[7]
  4. นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่น ๆ ที่ระบุด้วยว่าผลสุกสามารถนำมารับประทานได้ ยอดอ่อนและใบอ่อนใช้นึ่งหรือลวกเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ใช้ประกอบอาหาร เช่น แกง เป็นต้น[7]
References
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “กระเช้าผีมด”.  หน้า 120-124.
  2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “กระเช้าผีมด”.  หน้า 206.
  3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “กระเช้าผีมด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/.  [08 ก.ค. 2015].
  4. ผีเสื้อแสนสวย.  “การเพาะเลี้ยงผีเสื้อ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www3.ru.ac.th/research/butterfly/home.htm.  [08 ก.ค. 2015].
  5. Kalaiarasi V, Johnson M, Sivaraman A, Janakiraman N, Babu A, Narayani M.  “PHYTOCHEMICAL AND ANTIBACTERIAL STUDIES ON ARISTOLOCHIA TAGALA CHAM”.  Centre for Plant Biotechnology, Department of Plant Biology and Plant Biotechnology, St. Xavier’s College (Autonomous), Palayamkottai – 627 002, Tamil Nadu, India.
  6. STUARTXCHANGE.  “Timbañgan”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.stuartxchange.org.  [08 ก.ค. 2015].
  7. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “กระเช้าผีมด”.  อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6 (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th.  [08 ก.ค. 2015].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Vijayasankar Raman, Bryan To, judymonkey17, Yeoh Yi Shuen, biodivn), Jessica May